Monday, November 19, 2007

ในหลวง

พ่อหลวงของปวงชน

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

"พระผู้เป็นมิ่งขวัญของปวงชน พระคุณล้ำมากล้นมหาศาล
พวกเราชนชาวไทยก้มกราบกราน ตั้งปณิธานสืบสานคุณความดี"

พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช เสด็จพระราชสมภพในราชสกุลมหิดล อันเป็นสายหนึ่งในพระบรมราชจักรีวงศ์ พระราชสมภพ โรงพยาบาลเมาท์ออเบิร์น เมืองเคมบริดจ์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีเถาะ นพศก จุลศักราช ๑๒๘๙ ตรงกับวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๐ เหตุที่พระราชสมภพในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากพระบรมราชชนกและพระบรมราชชนนีกำลังทรงศึกษาวิชาการอยู่ที่นั่น ใกล้สถานที่พระราชสมภพมีจัตุรัสแห่งหนึ่งที่นายกเทศมนตรีขอพระราชทานพระนามว่า “จัตุรัสภูมิพลอดุลยเดช” (King Bhumibol Adulyadej Square) เพื่อเป็นเกียรติแก่เมืองเคมบริดจ์ และโรงพยาบาลอันเป็นที่พระราชสมภพ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้เสด็จไปทรงรับมอบในพิธีอุทิศจัตุรัสเมื่อวันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๓ ต่อมาสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ไปทรงเปิดผ้าแพรคลุมป้ายแผ่นจารึกพระราชประวัติ เมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๕
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชเป็นพระโอรสองค์ที่ ๓ ในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) และหม่อมสังวาล ตะละภัฎ (ชูกระมล) (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) ทรงมีพระนามขณะนั้นว่า พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลเดช ทรงมีพระเชษฐภคินีและสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ๒ พระองค์ คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
เมื่อ
พ.ศ. ๒๔๗๑ ได้เสด็จกลับสู่ประเทศไทยพร้อมพระบรมราชชนก ซึ่งทรงสำเร็จการศึกษาปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยม มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชชนนี สมเด็จพระพี่นางเธอ และสมเด็จพระเชษฐาธิราช โดยประทับ ณ วังสระปทุม ต่อมาวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๒ สมเด็จพระบรมราชชนกสวรรคต ขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุไม่ถึง ๒ ปี




- การศึกษา
พ.ศ. ๒๔๗๗ เมื่อเจริญพระชนมายุได้ ๕ ปี เสด็จเข้าศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี จนถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๗๖ จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับ ณ เมืองโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมด้วยพระบรมราชชนนี พระเชษฐภคินี และสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช เพื่อการศึกษาและพระพลานามัยของสมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อชั้นประถมศึกษา ณ โรงเรียนเมียร์มองต์ เมืองโลซาน ในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๔๗๗ ทรงศึกษาวิชาภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมัน และภาษาอังกฤษ แล้วทรงเข้าชั้นมัธยมศึกษาในโรงเรียนเอกอล นูเวล เดอ ลา ซืออิส โรมองต์ เมืองแชลลี-ซือ-โลซาน
พ.ศ. ๒๔๗๗ เมื่อพระองค์เจ้าอานันทมหิดล ผู้เป็นพระบรมเชษฐาธิราช เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๘ แห่งราชวงศ์จักรี ทรงได้รับการสถาปนาฐานันดรศักดิ์เป็น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุยเดช เมื่อวันที่
๑๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๗๘
เดือนพฤศจิกายน
พ.ศ. ๒๔๘๑ ได้โดยเสด็จฯ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จนิวัตประเทศไทย เป็นเวลา ๒ เดือน โดยประทับที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต จากนั้นเสด็จกลับไปศึกษาต่อที่สวิตเซอร์แลนด์จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๘๘ ทรงรับประกาศนียบัตรทางอักษรศาสตร์ จากโรงเรียนยิมนาส คลาซีค กังโตนาล แล้วทรงเข้าศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยโลซาน แผนกวิทยาศาสตร์ โดยเสด็จนิวัตประเทศไทยเป็นครั้งที่สอง ประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง

- เสด็จขึ้นครองราชย์

วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน โดยต้องพระแสงปืนที่พระกระหม่อม ณ พระที่นั่งบรมพิมาน สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดช ได้ตัดสินพระทัยรับตำแหน่งพระมหากษัตริย์ เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ สืบราชสันตติวงศ์ในวันเดียวกันนั้น แต่เนื่องจากยังมีพระราชกิจด้านการศึกษา จึงทรงอำลาประชาชนชาวไทย เสด็จพระราชดำเนินไปศึกษาต่อ ณ มหาวิทยาลัยแห่งเดิม แต่เปลี่ยนสาขาจากวิทยาศาสตร์ ไปเป็นสังคมศาสตร์ นิติศาสตร์ และรัฐศาสตร์ ซึ่งจำเป็นสำหรับตำแหน่งประมุขของประเทศ
การตัดสินพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่เพียงแต่ทำให้ประเทศไทยและคนไทยคลายความโศกเศร้าจากการที่ต้องเสียพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเท่านั้น แต่ยังทำให้ประเทศไทยได้พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ ที่ทรงมีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะอุทิศพระวรกายและพระราชหฤทัยเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน

เดิมทีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตั้งพระราชหฤทัยว่า จะทรงครองราชสมบัติเฉพาะในช่วงการจัดงานพระบรมศพของพระบรมเชษฐาเท่านั้น เพราะยังทรงพระเยาว์และไม่เคยเตรียมพระองค์ในการเป็นพระมหากษัตริย์มาก่อน เหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในขณะที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรถพระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปยังสนามบินดอนเมือง เพื่อทรงศึกษาเพิ่มเติมที่สวิตเซอร์แลนด์ ทรงได้ยินเสียงราษฎรคนหนึ่งตะโกนลั่นว่า "ในหลวง อย่าทิ้งประชาชน" ทำให้ทรงนึกตอบบุคคลผู้นั้นในพระราชหฤทัยว่า "ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนอย่างไรได้"เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ใจว่าต่อมาอีกประมาณ ๒๐ ปี ขณะทรงเยี่ยมราษฎรในต่างจังหวัด ทรงได้พบชายผู้ร้องตะโกนคนนั้น ชายผู้นั้นกราบบังคมทูลว่า ที่เขาร้องตะโกนออกไปเช่นนั้นเพราะรู้สึกว้าเหว่และใจหาย เขาเห็นพระพักตร์เศร้ามาก จึงร้องไปเหมือนคนบ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตอบว่า "นั่นแหละ ทำให้เรานึกถึงหน้าที่ จึงต้องกลับมา"

- ทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์
ระหว่างประทับในต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพบกับ หม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร และทรงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เมื่อวันที่
๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ได้เข้ารักษาพระองค์ ณ โรงพยาบาลในเมืองโลซาน โดย ม.ร.ว. สิริกิติ์ ได้มีโอกาสเยี่ยมเป็นประจำจนหายประชวร นับตั้งแต่นั้นมาทั้งสองพระองค์ก็มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด

- พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงหมั้นกับ ม.ร.ว.สิริกิติ์ เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๒ เสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนครในปีถัดมา โดยประทับ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมาวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมราชวงศ์สิริกิติ์ กิติยากร ณ พระตำหนักสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า ในวังสระปทุม ซึ่งในการพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสนี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาหม่อมราชวงศ์หญิงสิริกิติ์ กิติยากร ขึ้นเป็น สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์

- พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
วันที่
๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามแบบอย่างโบราณราชประเพณีขึ้น ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เฉลิมพระปรมาภิไธยตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร พระราชทานพระปฐมบรมราชโองการว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" และในโอกาสนี้ มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ เป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี
- ทรงผนวช

เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออกผนวชเป็นเวลา ๑๕ วัน ระหว่างวันที่ ๒๒ ตุลาคม - ๕ พฤศจิกายน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสมณนามว่า ภูมิพโลภิกขุ และเสด็จฯ ไปประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร ระหว่างที่ผนวช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในภายหลังพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระนามาภิไธย เป็นสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม ปีเดียวกันนั้น

- พระราชโอรสธิดา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงมีพระราชโอรส และพระราชธิดา ๔ พระองค์ ดังนี้
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ประสูติ ณ สถานพยาบาล มองซัวซี นครโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๔ ต่อมาได้ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ (ปัจจุบัน ออกพระนามว่า “ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี”)
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ บรมจักราดิศรสันตติวงศ์ เทเวศรธำรงสุรบริบาล อภิคุณูประการมหิตลาดุลเดชภูมิพลนเรศวรางกูร กิตติสิริสมบูรณ์ สวางควัฒน์ บรมขัตติยราชกุมาร ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๙๕ ต่อมา ทรงได้รับการสถาปนา ขึ้นเป็น “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฏราชกุมาร” เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิรินธรเทพรัตนสุดา กิติวัฒนาดุลโสภาคย์ ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ ๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๘ ต่อมาทรงได้รับพระราชทานโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระอิสริยยศ เป็น “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี” เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๐
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประสูติ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๐



- พระราชกรณียกิจ พระราชนิพนธ์ และผลงานอื่นโดยสังเขป

มูลนิธิชัยพัฒนา
มูลนิธิโครงการหลวง
โครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา
โครงการหลวงอ่างขาง
โครงการปลูกป่าถาวร
โครงการแก้มลิง
โครงการฝนหลวง
โครงการสารานุกรมสำหรับเยาวชน
โครงการแกล้งดิน
กังหันชัยพัฒนา
แนวพระราชดำริ ผลิต
แก๊สโซฮอล์ในโครงการส่วนพระองค์ (พ.ศ. ๒๕๒๘)
แนวพระราชดำริ
เศรษฐกิจพอเพียง
เพลงพระราชนิพนธ์

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกร เป็นที่ยกย่องเทิดทูนไม่เฉพาะแต่ประชาชนชาวไทย แม้แต่ชาวต่างประเทศก็ได้ประจักษ์และถวายสดุดี ดังจะเห็นได้จากการทูลเกล้าฯ ถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก และหน่วยงานองค์การระหว่างประเทศได้ทูลเกล้าฯ ถวายเหรียญสดุดี อาทิ เช่น ประธาน
รัฐสภายุโรปและสมาชิกร่วมกันทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญรัฐสภายุโรป" (๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๙)
,ประธานคณะกรรมาธิการเพื่อสันติภาพของ
สมาคมอธิการบดีระหว่างประเทศ ทูลเกล้าฯ ถวาย "รางวัลสันติภาพ" (๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๒๙) ,สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญทองเฉลิมพระเกียรติคุณในการนำชนบทให้พัฒนา" (๒๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๓๐) ,ผู้อำนวยการใหญ่โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญทองประกาศพระเกียรติคุณด้านสิ่งแวดล้อม" (๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๕) ,ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก (WHO) ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญทองสาธารณสุขเพื่อมวลชน" (๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๕) ,คณะกรรมการสมาคมนิเวศวิทยาเชิงเคมีสากล (International Society of Chemical Ecology) ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญรางวัลเทิดพระเกียรติในการสงวนรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ" (๒๖ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๖) ,หัวหน้าสาขาเกษตร ฝ่ายวิชาการภูมิภาคเอเชียของธนาคารโลก ทูลเกล้าฯ ถวาย "รางวัลหญ้าแฝกชุบสำริด" สดุดีพระเกียรติคุณในฐานะที่ทรงเป็น ,นักอนุรักษ์ดินและน้ำ (๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๖) ,ผู้อำนวยการบริหารของยูเอ็นดีซีพี (UNDCP) แห่งสหประชาชาติ ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญทองคำสดุดีพระเกียรติคุณด้านการป้องกันแก้ไขปัญหายาเสพติด" (๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๗) ,องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ทูลเกล้าฯ ถวาย "เหรียญสดุดีพระเกียรติคุณในด้านการพัฒนาการเกษตร" (๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๓๙) ,สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ทูลเกล้าฯ ถวาย "รางวัลความสำเร็จสูงสุดด้านการพัฒนามนุษย์" จากการที่ได้ทรงอุทิศกำลังพระวรกายและทรงพระวิริยะอุตสาหะในการปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่นานัปการ เพื่อยังประโยชน์และความเจริญอย่างยั่งยืนมาสู่ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศมาโดยตลอด (๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๙)

งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙

งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙ ชื่อพระราชพิธีในภาษาอังกฤษว่า “The Sixtieth Anniversary Celebrations of His Majesty's Accession to the Throne” พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อการจัดงานว่า “การจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี” ชื่อพระราชพิธีว่า “พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี” เนื่องในศุภวาระที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะครบรอบการเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ในวันที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ นับเป็นมหามงคลสมัยพิเศษยิ่ง รัฐบาลจึงได้กำหนดให้จัดงานเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่และสมพระเกียรติ


-การจัดงาน

การจัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี นี้ แบ่งออกเป็น ๓ ส่วนด้วยกัน คือ งานพระราชพิธี ซึ่งทาง สำนักพระราชวัง จะเป็นฝ่ายอำนวยการ ในการจัดเตรียมการต่างๆ ให้สอดคล้องกับโบราณราชประเพณี ว่าด้วยพระราชพิธี ซึ่งส่วนมากจะเป็นเรื่อง พิธีบวงสรวง งานบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุประทาน การสถาปนาสมณศักดิ์ และ การหล่อพระพุทธรูป เป็นต้น


-รัฐพิธีและพิธีสำคัญ
พิธี
จุดเทียนชัยถวายพระพร วันศุกร์ที่ ๙ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ เวลา ๑๙.๑๙ น. ณ มณฑลพิธี ท้องสนามหลวง
งาน
สโมสรสันนิบาต ถวายพระกระยาหารค่ำ เนื่องในวโรกาส ฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ณ ทำเนียบรัฐบาล
พิธีสวนสนามแสดงแสนยานุภาพของกองทัพไทย
ถนนราชดำเนิน


- สมเด็จพระราชาธิบดี สมเด็จพระราชินี และ ผู้แทนพระองค์

ประเทศที่มี สมเด็จพระราชาธิบดี และ สมเด็จพระราชินี ตอบรับการกราบทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยของรัฐบาลไทย เพื่อร่วมถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในวโรกาสนี้อย่างเป็นทางการ จำนวน ๒๕ ประเทศ โดยมี สมเด็จพระราชาธิบดี และ สมเด็จพระราชินี ที่จะเสด็จฯ มาด้วยพระองค์เอง จำนวน ๑๓ ประเทศ ทั้งนี้ ประเทศที่มี สมเด็จพระราชาธิบดี และ สมเด็จพระราชินี เป็นประมุข มีจำนวนทั้งหมด ๒๙ ประเทศ นับเป็นการชุมนุมของพระประมุขจากประเทศต่างๆ มากที่สุดในโลก
ราชอาณาจักรกัมพูชา (The Kingdom of Cambodia)
. สมเด็จพระราชาธิบดี :
พระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี (HM Preah Bat Samdech Preah Baromneath Norodom Sihamoni)
รัฐกาตาร์ (The State of Qatar)
. สมเด็จพระราชาธิบดี :
เชคฮามัด บิน คอลิฟะห์ อัลซานี (HH Sheikh Hamad Bin Khalifa Al-Thani)
. สมเด็จพระราชินี :
เชคเคาะห์เมาซา บินด์ เนเซอร์ อัลมิสนัด พระชายา (HH Sheikha Moza Bin Nasir Al-Musnad)
รัฐคูเวต (The State of Kuwait)
. สมเด็จพระราชาธิบดี :
เชคซอบะห์ อัลอะห์มัด อัลจาบีร์ อัล-ซาบะห์ (His Highness Sheikh Sabah Al-Ahmad Al-Jaber Al-Sabah)
ราชอาณาจักรฮัชไมต์จอร์แดน (The Hashemite Kingdom of Jordan)
.
สมเด็จพระราชาธิบดีอับดุลเลาะห์ที่ ๒ บิน อัลฮุสเซน (HM King Abdullah II Bin Al-Hussein)
ญี่ปุ่น (Japan)
. สมเด็จพระราชาธิบดี :
สมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ (His Imperial Highness Emperor Akihito)
. สมเด็จพระราชินี :
สมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ (Her Imperial Highness Empress Michiko)
ราชอาณาจักรเดนมาร์ก (The Kingdom of Denmark)
. ผู้แทนพระองค์ :
เจ้าชายเฮนริค พระราชสวามีใน สมเด็จพระบรมราชินีนาถมาร์เกรเธที่ ๒ (HRH Prince Henrik, the Prince Consort of Denmark)
ราชอาณาจักรตองกา (The Kingdom of Tonga)
. ผู้แทนพระองค์ :
เจ้าฟ้าชายทูโพทัว มกุฎราชกุมาร (HRH Crown Prince Tupouto'a)
ราชอาณาจักรนอร์เวย์ (The Kingdom of Norway)
. ผู้แทนพระองค์ :
เจ้าฟ้าชายโฮคุน มกุฎราชกุมาร (HRH Crown Prince Haakon)
. ผู้แทนพระองค์ :
เจ้าหญิงเม็ตเต-มาริต พระวรชายา (HRH Princess Mette-Marit)
ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์ (The Kingdom of the Netherlands)
. ผู้แทนพระองค์ :
เจ้าฟ้าชายวิลเล็ม-อเล็กซานเดอร์ มกุฎราชกุมาร (HRH The Prince of Orange or HRH Prince Willem-Alexander)
. ผู้แทนพระองค์ :
เจ้าหญิงแม็กซิมา พระวรชายาในมกุฎราชกุมาร (HRH Princess Maxima)
ราชอาณาจักรบาร์เรน (The Kingdom of Bahrain)
. ผู้แทนพระองค์ :
เชคคอลิฟะห์ บิน ซัลมาน อัล คอลิฟะห์ (HH Shaikh Khalifa bin Salman Al Khalifa)
เนการา บรูไน ดารุสซาลาม (Negara Brunei Darussalam)
.
สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาเลาะห์ (HM Sultan Haji Hassanal Bolkiah Muizzaddin Waddaulah)
.
สมเด็จพระราชินีราชาอิสตรี เป็งงีรัน อานัก ฮัจญะห์ ซาเลฮา (HM Queen Raja Isteri Pengiran Anak Hajyah Saleha)
ราชอาณาจักรเบลเยียม (The Kingdom of Belgium)
. ผู้แทนพระองค์ :
เจ้าฟ้าชายฟิลิปป์ มกุฎราชกุมาร (HRH Crown Prince Philippe)
. ผู้แทนพระองค์ :
เจ้าหญิงมาธิลด์ พระวรชายา (HRH Princess Mathilde)
ราชอาณาจักรภูฏาน (The Kingdom of Bhutan)
. ผู้แทนพระองค์ :
เจ้าฟ้าชายจิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก มกุฎราชกุมาร (HRH Crown Prince Jigme Khesar Namgyel Wangchuck)
ประเทศมาเลเซีย (Malaysia)
. สมเด็จพระราชาธิบดีตวนกู ไซอิด ซิรัจอุดดิน อิบนี อัลมาร์ฮูม ตวนกู ไซอิด ปุตรา จามาลุลไลล์ ยังดีเปอร์ตวน อากง ที่ ๑๒ (HM Tuanku Syed Sirajuddin Ibni Al-Marhum Tuanku Syed Putra Jamalullail, The Yang di-Pertuan Agong XII)
.
สมเด็จพระราชินีตวนกู เฟาชิอะห์ บินดี อัลมาร์ฮูม เติงกู อับดุล รอชีด รายาประไหมสุหรี อากง (HM Tuanku Fauziah binti Al-Marhum Tengku Abdul Rashid, The Raja Permaisuri Agong)
ราชรัฐโมนาโก (The Principality of Monaco)
. เจ้าผู้ครองราชรัฐ:
เจ้าชายอัลแบรต์ที่ ๒ (HSH Prince Albert II)
ราชอาณาจักรโมร็อกโก (The Kingdom of Morocco)
. ผู้แทนพระองค์ :
เจ้าหญิงลัลลา ซัลมา เบนนานี (HRH Princess Lalla Salma Bennani) พระราชชายา ใน สมเด็จพระราชาธิบดีโมฮัมเหม็ดที่ ๖ (HM King Mohammed VI)
ราชรัฐลักเซมเบิร์ก (The Principality of Luxemburg)
. เจ้าผู้ครองราชรัฐ:
แกรนด์ดยุคอ็องรีที่ 1 (HRH Grand Duke Henri I)
ราชรัฐลิกเตนสไตน์ (The Principality of Liechtenstein)
. ผู้แทนพระองค์ :
เจ้าชายอาโลอิส เจ้าชายรัชทายาท (His Serene Highness Hereditary Prince Alois)
. ผู้แทนพระองค์ :
เจ้าหญิงโซฟี พระชายาในเจ้าชายรัชทายาท (HSH Princess Sophie)
ราชอาณาจักรเลโซโธ (The Kingdom of Lesotho)
.
สมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ ๓ (HM King Letsie III)
.
สมเด็จพระราชินีมาเซเนต โมฮาโต เซเอโซ (HM Queen Masenate Mohato Seeiso)
ราชอาณาจักรสเปน (The Kingdom of Spain)
.
สมเด็จพระราชินีโซเฟีย (HM Queen Sofia) ใน สมเด็จพระราชาธิบดีฆวน คาร์ลอสที่ ๑ (HM King Juan Carlos I)
ราชอาณาจักรสวาซิแลนด์ (The Kingdom of Swaziland)
.
สมเด็จพระราชาธิบดีสวาติที่ ๓ (HM King Mswati III)
ราชอาณาจักรสวีเดน (The Kingdom of Sweden)
.
สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ ๑๖ กุสตาฟ (HM King Carl XVI Gustaf)
.
สมเด็จพระราชินีซิลเวีย (HM Queen Silvia)
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (United Arab Emirates)
. ผู้แทนพระองค์ :
เชคโมฮัมเหม็ด บิน ไซอิด อัลนะห์ยัน มกุฎราชกุมารแห่งอาบูดาบี (HH General Sheikh Mohammed Bin Zayed Al Nahyan, Crown Prince of Abu Dhabi)
สหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ (United Kingdom of Great Britain and Northern Ireland)
. ผู้แทนพระองค์ :
เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ ดยุกแห่งยอร์ค (HRH Prince Andrew, The Duke of York)
รัฐสุลต่านโอมาน (The Sultanate of Oman)
. ผู้แทนพระองค์ :
เจ้าชายซัยยิด ซีฮาบ บิน ตาริก ตัยมูร อัล-ซาอิด (HH Sayyid Shihab bin Tariq Taimour Al Said, Advisor to the Sultan)

- ความหมายของตราสัญลักษณ์ งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี

อักษรพระปรมาภิไธย ภปร สีเหลืองนวลทองอันเป็นสีประจำพระชนมวาร ขลิบรอบตัวอักษรด้วยสีทองบนพื้นสีน้ำเงินเจือทอง อันเป็นสีประจำพระราชวงศ์ ล้อมด้วยเพชร อันเป็นเอกแห่งรัตนะ หมายความว่า เหล่านักปราชญ์ ราชกวีสำคัญ อีกบรรดาช่างอันมีชื่อ พระยาช้างสำคัญ นางงาม เหล่าทแกล้วทหาร ข้าราชบริพาร อันยอดฝีมือในการปฏิบัติราชการอย่างสุจริตยิ่ง เหล่านี้เปรียบด้วยเพชรอันชื่อว่ารัตนะ แวดล้อมประดับพระเกียรติยศแห่งพระมหากษัตริยาธิราชพระองค์นั้นอันเหนือยิ่งกว่าเพชรอันได้ชื่อว่ารัตนะทั้งปวง คือพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงสถิตเป็นเพชรอันยอดค่ายิ่งในดวงใจราษฎร์ ทรงบำบัดทุกข์ผดุงสุขเป็นที่พึ่งอันเกษมสุขร่มเย็นแก่ปวงพสกนิกร ซึ่งต่างเชื้อชาติศาสนา ในพระราชอาณาจักรของพระองค์
อนึ่ง อักษรพระปรมาภิไธย ภปร นี้ ประดิษฐานบน
พระที่นั่งภัทรบิฐ ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ ประกอบพระอุณาโลม อันเป็นหนึ่งในเครื่องเบญจสิริราชกกุธภัณฑ์ แวดล้อมด้วยพระแสงขรรค์ชัยศรีและพระแส้หางช้างเผือก ทอดสอดอยู่ในกง พระที่นั่งภัทรบิฐ เบื้องซ้ายแห่งพระมหาพิชัยมงกุฎ มี ธารพระกรและพัชนีฝักมะขาม ทอดสอดอยู่เบื้องขวาแห่งกง พระที่นั่งภัทรบิฐ อันประดิษฐานบนฐานเขียง ซึ่งทอดฉลองพระบาทประดิษฐานอยู่ เหล่านี้รวมเรียกว่า เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ประกอบด้วยสิ่งอันแสดงความเป็นกษัตริย์ทั้ง ๕ คือ พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกร พัดวาลวิชนี และ พระแส้ และ ฉลองพระบาท หมายถึง ปีแห่งการเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติ ล่างลงมาเป็นแพรแถบสีชมพูขลิบทอง เขียนอักษรสีทองความว่า “ฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี พุทธศักราช ๒๕๔๙” ปลายแห่งแพรแถบ ผูกเป็นภาพกระบี่ธุช เป็นวานรภายขาว มือถือก้านลายซุ้ม อันเป็นกรอบลายของตราสัญลักษณ์ฯ อยู่ด้านขวา ส่วนด้านซ้ายปลายแพรแถบ ผูกเป็นภาพพระครุฑพ่าห์ เป็นครุฑหน้าขาว กายสีเสนปนทอง มือถือก้านลายกรอบแห่งตราสัญลักษณ์ฯ พื้นภาพตราสัญลักษณ์ฯ เฉลิมพระเกียรติทั้งหมดสีเขียวปนทอง อันหมายถึงสีอันเป็นเดชแห่งวันพระบรมราชสมภพ และยังหมายถึงสีของความมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ แห่งผืนภูมิประเทศที่ทรงปกครองทำนุบำรุงอย่างหนักยิ่งมาตลอดระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติมา ณ บัดนี้ ถึงมหามงคลสมัยที่จะฉลองเฉลิมพระเกียรติ ในการครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี อันยาวนานที่สุด ยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์องค์ใดในพระราชพงศาวดารในสยามประเทศ